วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

รู้ทันความกลัว


บ่อยครั้งในชีวิตที่คนเราปล่อยตัวเองให้จมลงไปในวิถีชีวิตที่ไม่มีคุณภาพ ไม่เอื้อต่อการพัฒนาจิตใจของตนเอง ปล่อยตัวเองให้จมอยู่ในวิถีชีวิตที่เราไม่ต้องการ แต่เราไม่เข้มแข็งพอที่จะสลัดหลุดออกจากมันได้บางคนเสพติดการช็อปปิ้ง เสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า นาฬิกา ที่เราทนต่อแรงดึงดูดภายในไม่ไหว เพราะเราไม่มีโอกาสรู้ทันใจ ไม่ได้ให้โอกาสเข็มทิศชีวิตทำงาน จึงต้องมานั่งแก้ปัญหาหนี้สินที่ตามมาไม่รู้จบ บางคนทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รัก ไม่ได้ศรัทธา เพียงเพราะเรากลัว กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับ ความเปลี่ยนแปลงโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เรามีความกลัวผุดขึ้นในใจเสมอ กลัวจน กลัวคนไม่ชอบ กลัวเขาไม่รัก ไม่อยู่กับเรา กลัวไม่สมดังใจ ความเครียดในใจของเรา เกิดจากใจที่กลัวว่าอนาคตจะไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง หรือคิดถึงอดีตที่ผ่านไปแล้ว ว่ามันควรเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
การที่เราฝึกดูจิตใจตัวเอง คอยรู้สึกตัว รู้ทันความกลัว ใจของเราจะเกิดความรู้สึกมั่นคงสะสมขึ้นทีละขณะ ความกลัวเป็นความเผลอสติ เกิดจากใจที่หลงไป ถ้าเราเห็นความกลัวนั้นทัน ความกลัวก็จะหายวับไป ใจเราก็จะสงบ มั่นคง ตั้งมั่น อยู่กับขณะนั้น เราจะรู้จักความเป็นอิสระ รู้ประจักษ์ด้วยตัวเองอย่างแท้จริง ว่าเราสามารถมีความสุขได้จากภายใน โดยไม่ต้องอิงอาศัยคน อาศัยของ เป็นอิสรภาพทางจิตวิญญาณที่เราสามารถสัมผัสกับมันได้ทุกขณะ แม้ในขณะนี้ ทันทีที่ท่านผู้อ่านเห็นว่าใจไหลมาจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือ ใจของเราจะเกิดความรู้สึกตัวเป็นปรกติ ธรรมดา มั่นคงก่อนที่จะเริ่มไหลใหม่ หลงใหม่ หลงอีกในขณะต่อๆ ไป แล้วเราก็จะเริ่มรู้สึกตัวใหม่อีก

ชีวิตไม่แน่นอน


ชีวิตไม่แน่นอนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว มีผู้หญิงคนหนึ่งเรียนจบปริญญาโททั้งสาขาบริหารธุรกิจและสาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในขณะที่เธอมีอายุเพียงยี่สิบปี ในวันนั้นเธอคิดว่า ความรู้ที่เธอเรียนมาทางโลก ความตั้งใจดี เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่เป็นคนทำงานที่ดี เพียงพอแล้วจะทำให้ชีวิตเธอมีความสุขพออายุยี่สิบสองปี เธอสามารถซื้อรถเบนซ์ด้วยตัวของเธอเอง วันที่เธอขับรถคันใหม่ไปทำงาน ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เธอหยุดแล้วถามตัวเองว่า วัตถุที่เราอยากได้นักอยากได้หนา คิดว่าเมือ่ได้มันมาแล้วจะทำให้มีความสุขอย่างแท้จริง ทำไม ความสุข ความตื่นเต้น มันมีอยู่แค่ชั่วขณะเดียวแล้วจางหายไป แล้วอะไรล่ะที่จะเป็นความสุขที่ยั่งยืนแท้จริงของมนุษย์แต่ความสงสัยในขณะนั้นไม่มีกำลังพอที่จะให้เธอค้นหาคำตอบ เธอก็ยังดำเนินชีวิตในแบบเดิม และเริ่มทำธุรกิจของตัวเองเมื่ออายุยี่สิบห้าปี ในขณะที่เธอภาคภูมิใจในความสำเร็จ มั่นใจตัวเองที่สุด รู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกอยู่ในกำมือ แล้วเธอก็สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอสร้าง ที่เธอมีภายในพริบตา จากคนที่เคยมั่นใจในตัวเองกลายเป็นคนที่รู้สึกล้มเหลว ไม่อยากพบหน้าผู้คน เธอหนีไปอยู่บ้านคุณพ่อคุณแม่ที่ตจวเวลาที่ตื่นนอนในตอนเช้าทุกวัน เธอไม่สามารถที่จะลุกขึ้นมาจากเตียงได้ ความรู้สึกเหมือนเลือดในตัวมันเหือดแห้งไปทุกหยด ใครจะมาบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของโลก เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ก็ไม่เข้าใจ ก็เราทุกคนถูกสอนมาว่า ถ้าเราตั้งใจเรียน เราจะมีงานดีๆ ถ้าเราตั้งใจทำงาน ชีวิตก็จะเจริญรุ่งเรือง แต่ไม่มีใครเคยบอกเราอย่างแท้จริงว่า ไม่ว่าเราจะทุ่มเทสักเพียงไหน ทุกอย่างในชีวิตมันก็ไม่แน่เสมอไปเราทำได้แค่สร้างเหตุ เหมือนปลูกต้นไม้ รดน้ำ พรวนดิน ไล่แมลง แต่ปัจจัยที่จะช่วยให้ต้นไม้เจริญเติบโต หรือตายไปมีมากมาย บางอย่างเราเลือกได้ บางอย่างเราก็เลี่ยงไม่ได้ ผลของมันจึงไม่แน่เสมอไป แล้วอะไรล่ะที่เป็นความมั่นคงที่แท้จริงของชีวิตเรา

เหตุการณ์ข้างต้นเล่าให้ฟังว่า ชีวิตไม่มีความแน่นอน ที่เราคิดว่า เรามีความสุข มั่นคง ดูแลตัวเองได้ เราไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่า วันใดวันหนึ่งจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา กับสิ่งที่เรารักตอนที่เรารับรู้เรื่องนี้ เราอาจรู้สึกสงสารบ้างเล็กน้อย แต่ถ้าตัวละครในเรื่องนี้เปลี่ยนไปแค่คำเดียว จากคำว่า เขา เป็น เรา สามีเรา ลูกเรา บริษัทเรา เงินของเรา ใจเราคงไม่หยุดแค่สงสารบ้างเล็กน้อยแน่ๆ คำๆเดียว แต่มีกำลังมหาศาลที่จะสร้างความทุกข์ในใจเรา คือคำว่า ของเรา ของของคนอื่นจะตาย ล้มละลาย สูญเสีย ไม่เป็นไร อย่าเป็นของเราก็แล้วกัน แต่ดิฉันไม่โชคดีเหมือนท่านผู้อ่าน เพราะคนที่ตายคนนั้นคือสามีของดิฉัน และเด็กคนนั้นเป็นลูกของดิฉันเองขณะที่ดิฉันกำลังสับสนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรกับชีวิต มีผู้ใหญ่ท่านนึงมาที่งานศพมาถึงท่านก็เล่าว่า ในสมัยพุทธกาล มีแม่อยู่คนหนึ่งชือนางกีสาโคตมี ลูกของเธอเสียชีวิต เธอวิ่งขอร้องให้คนช่วยชุบชีวิตลูก จนมาพบพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็ตรัสว่าถ้าท่านหาเมล็ดพันธุ์ฟักกาดจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตายได้เราจะช่วยลูกท่าน นางกีสาโคตมีก็วิ่งขอเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านต่างๆทุกบ้านก็ยินดีทีจะให้ แต่พอถามว่าในบ้านท่านเคยมีพ่อตาย แม่ตาย ตายายตาย ปู่ย่าตายาย ลูกหลานตายไหม ทุกบ้านก็ตอบว่า เคยมี ทุกบ้านขณะที่ได้ฟังนั้น สติของดิฉันกลับมาอีกครั้ง คิดได้ว่าทุกคนในโลกนี้ต้องเคยเสียของ เสียคน เสียสิ่งที่ตัวเองรักที่สุดมาแล้วในชีวิตทั้งนั้น เพียงแต่เวลาที่เป็นของ คนอื่นตาย คนอื่นเสียใจ เราไม่ทุกข์ เราจะทุกข์ก็ต่อเมื่อเรามีความรู้สึกว่ามันเป็นของเรา และอยากให้อยู่กับเราดีๆตลอดไปตอนนั้นมีผู้ใหญ่ หลายๆท่านบอกกับดิฉันว่า ถ้าไม่อยากล้มละลาย ไปหาเวลาอยู่กับตัวเอง ศึกษาตัวเอง ศึกษาธรรมชาติธรรมดาของชีวิตเราซะ ดิฉันไม่เคยเข้าหลักสูตรภาวนาที่ไหนมาก่อน เคยได้ยินตั้งแต่สมัยเรียนที่ตปทว่าเป็นที่นิยมกันมากทั้งในนักธุรกิจ นักวิชาการ คนทั่วไป ว่ามีประโยชน์ต่อชีวิต แต่ไม่เคยศึกษา ไม่เคยสนใจว่ามีลักษณะอย่างไร

วิธีการเลี้ยงกระต่าย

อาหารมีความส่าคัญต่อการเลี้ยงกระต่ายอย่างยิ่งเพราะต้นทุนในการเลี้ยงกระะต่าย มากกว่าครึ่งหนึ่งใช้เป็นค่าอาหาร การที่จะเลี้ยงกระต่ายให้เติบโตเร็ว มีสุขภาพดีและให้ ผลผลิตสูงจำเป็นจะต้องเลี้ยงด้วยอาหารที่เหมาะสม และมีปริมาณเพียงพอกับความ ต้องการของกระต่าย
อาหารที่ใช้เลี้ยงกระต่ายแบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
1. อาหารหยาบ (Roughage)
หมายถึงอาหารที่มีโภชนะย่อยได้ต่ำ มีเยี่อใยสูง ซึ่งหมายถึงอาหารที่กินเข้าไป และเหลือกากขับถ่ายออกมาเป็นของเสียมาก ส่วนใหญ่ได้มาจากลำต้น และใบของพืช ตระกูลหญ้า และพืชตระกูลถั่ว เช่น หญ้าเนเปียร์ หญ้าขน หญ้ากินนี กระถิน ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วชีราโต ถั่วไกลซีน ถั่วเทาสวิลสไลโล เป็นต้น หรืออาจจะใช้ต้น พืชผักชนิดต่างๆ เช่น ผักบุ้ง ผักโขม ผักกาด คะน้า กะหล่ำปลี แครอท ผักกาดหอม หัวผักกาด มันเทศ มันแกว ฯลฯ เลี้ยงกระต่ายก็ได้
อาหารหยาบประเภทใบพืช ผัก หญ้า ควรให้กินเต็มที่ กระต่ายชอบหญ้าสด ผักสด มากกว่าตากแห้ง แต่หญ้าแห้งก็อาจใช้ได้ แต่ควรเป็นหญ้าที่อยู่ในระยะยังอ่อน ตากแห้งสะอาดไม่มีรา ไม่สกปรก ไม่มียาฆ่าแมลง ดวรหั่นเป็นท่อน ๆให้ยาวพอควร
2. อาหารข้น (Concentrate)
แม้ว่ากระต่ายจะสามารถยังชีพและขยายพันธุ์ตามปกติธรรมชาติ โดยอาศัย อาหารประเภทต้นหญ้า ใบพืชได้ก็ตาม แต่หากเราต้องการให้มันเจริญเติบโต ให้ผลิตผลเร็ว ให้เนื้อมาก ให้ขยายพันธุ์มีลูกดก ได้ลูกปีละหลายตัว เราจะต้องเลี้ยงดูให้ดี โดยมีอาหารข้น (Concentrates) เพิ่มเสริมให้ด้วย อาหารขันนี้เป็นอาหารที่มีโภชนะย่อยได้สูง มีเยื่อใยต่ำ ย่อยง่าย ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มคือ
2.1 อาหารที่เป็นแหล่งพลังงาน คืออาหารที่มีแป้ง และน้ำตาล (คาร์ไบ ไฮเดรต) หรือไขมันสูง ได้แก่ รำ ปลายข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง มันเสน และไขมัน จากพืชหรือสัตว์
2.2 อาหารที่เป็นแหล่งโปรตีน ได้แก่ นมผง ปลาป่น กากถั่วเหลือง กากถั่วลิสง และใบกระถินป่น
ส่าหรับอาหารข้นควรเสริมให้กินในตอนบ่าย กระต่ายที่ไม่ได้เสริมด้ยอาหารข้น ควรมีแร่ธาตุประกอบด้วย เกลือ กระดูกป่น และเปลือกหอยบดอย่างละเท่า ๆ กัน ผสมให้เข้ากัน ตั้งให้กินตามชอบ อาหารป่นที่แห้งอาจผสมน้ำเล็กน้อยพอชื้น เพื่อสะดวกใน การกินและจะช่วยมิให้ร่วงหล่นเสียห
าย
3. อาหารส่าเร็จรูป (Complete feed)

เกิดจากการนำอาหารข้นและอาหารหยาบมารวมกันในอัตราส่วนที่เหมาะสม มีสภาพเป็นผงหรืออัดเป็นเม็ด นำมาใช้เลี้ยงกระต่ายได้สะดวก กระต่ายที่เลี้ยงด้วยอาหาร สำเร็จรูปเพียงอย่างเดียวในปริมาณที่เพียงพอจะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่ในการ เลี่ยงโดยทั่วไปนิยมเสริมหญ้าสด เพื่อลดต้นทุนและควรให้หญ้าหลังจากที่กระต่ายกินอาหาร สำเร็จรูปในปริมาณมากพอสมควร เพื่อให้กระต่ายได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างเพียงพอ

1. โรงเรือน

ลักษณะของโรงเรือนที่ดีควรตั้งอยู่ในแนวทิศตะวันออกกับตะวันตก มีลวดตาข่ายล้อม รอบเพื่อป้องกันแมลงและสัตว์ ชี่งจะทำอันตรายและนำโรคมาสู่กระต่าย หลังคาของโรงเรือนจะ ต้องกันแดดและฝนได้ดี พื้นภายในโรงเรือนควรเป็นพื้นคอนกรีต เพื่อไม่ให้เปียกชื้นและทำ ความสะอาดได้ง่าย กรณีที่ผู้เลี้ยงมีพื้นที่ในบ้านหรือใต้ชายคาบ้านมากพอสมควร และกระต่าย ที่เลี้ยงมีจำนวนไม่มากนัก ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องมีโรงเรือน
2. กรง
ขนาดของกรงขึ้นกับจำนวนกระต่าย ถ้าเป็นกรงเดี่ยวควรมีขนาดกว้าง 50-60 เชนติเมตร ยาว 60-90 เชนติเมตร สูง 45-60 เซนติเมตร ถ้าต้องการเลี้ยงกระต่ายหลายตัว อาจทำเป็นกรงตับและซ้อนกัน 2-3 ชั้น หรือถ้าจะขังหลายๆ ตัวรวมกัน กรงที่ใช้จะต้องใหญ่พอ ที่กระต่ายจะอยู่กันได์ไดยไม่หนาแน่นเกินไป วัสดุที่ใช้ทำกรงอาจใช้ไม้ระแนง หรือลวดตาข่าย ที่มีช่องกว้างประมาณ 1/2 - 3/4 นิ้ว ถ้าเป็นกรงส่าหรับแม่กระต่ายเลี้ยงลูก ลวดตาข่ายที่ใช้บุพื้น ควรมีช่องขนาด 1/2 นิ้ว เพื่อปัองกันขาของลูกกระต่ายติดในร่องของลวด ถ้าเลี้ยงกระต่ายไม่กี่ตัว อาจชื้อกรงส่าเร็จรูปที่มีขายตามร้านขายอุปกรณ์เลี้ยงสัตว์ทั่วไป แต่ต้องไม่ลืมว่ากรงที่ใช้จะต้อง มีขนาดใหญ่พอที่กระต่ายจะอยู่ได้อย่างสบาย และต้องแข็ง
แรงทนทาน มีอายุการใช้งานยาวนาน
3. อุปกรณ์การให้อาหาร

ควรใช้ถ้วยดินเผาขนาดเสนผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้ว และมีน้ำหนักมาก พอที่กระต่ายจะ ไม่สามารถทำล้มได้ อาจใช้กล่องใส่อาหารที่ทำด้วยอลูมิเนียมเป็นรูปสี่เหลี่ยม หรือรูปครึ่ง วงกลมผูกแขวนติดกับข้างกรง ถ้าเป็นกระต่ายขุน อาจใช้กล่องอาหารอัตโนมัติเพื่อที่กระต่าย จะได้กินอาหารตลอดทั้งวัน
4. อุปกรณ์การให้น้ำ

มีหลายแบบด้วยกัน เช่น ถ้วยดินเผาใส่น้ำ แต่มีข้อเสียคือ กระต่ายอาจถ่ายมูลหรือ ปัสสาวะลงในถ้วยทำให้สกปรกได้ หรืออาจใช้ขวดอุดด้วยจุกยาง ซึ่งมีรูส่าหรับสอดท่อทองแดง วิธีใช้ให้นำขวดไปเติมน้ำจนเกือบเต็มขวดแล้วคว่ำขวดแขวนที่ข้างกรงกระต่ายให้ปลายท่อ ทองแดงสูงระดับที่กระต่ายกินน้ำได้สะดวก ควรตัดท่อทองแดงให้โค้งพอเหมาะ น้ำจึงจะไหล ได้ดีถ้าเลี้ยงกระต่ายเป็นจำนวนมาก ๆ อาจใช้อุปกรณ์ไห้น้ำแบบอัตโนมัติก็ได้ เพื่อประหยัด แรงงานและอุปกรณ์ แต่ค่าไซ้จ่ายค่อนข้างสูง
5. รังคลอด

ควรมีขนาดกว้างพอที่แม่กระต่ายและลูกกระต่ายอยู่ได้อย่างสบาย โดยทั่วไป รังคลอดควรมีขนาดกว้าง 30 เชนติเมตร ยาว 40 เชนติเมตร สูง 15 เซนติเมตร พื้นรัง- คลอดบุด้วยลวดตาข่ายขนาด 1/2 นิ้ว หรือใช้ไม้ตีปิดพื้นให้ทึบ ปูพื้นด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง
การทำความสะอาดโรงเรือนและกรงควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพี่อลดกลิ่นเหม็นที่เกิดจากมูลกระต่าย ส่วนภาชนะใส่น้ำและอาหารควรล้างทำความสะอาด อย่าง. กระต่ายกินน้ำตายจริงหรือไม่ ?
ปกติแล้วกระต่ายเป็นสัตว์ที่มีความต้องการน้ำเช่นเดียวกับสัตว์ชนิดอื้น ๆ ถ้ากระต่ายได้รับ น้ำน้อย จะทำให้เติบโตช้า แต่การที่คนส่วนใหญ่เห็นว่ากระต่ายที่เลี้ยงกันนั้นไม่ได์ไห้น้ำเลยให้แต่ผัก หญ้า ก็ยังเห็นกระต่ายปกติดี เนื่องจากว่าในผักและหญ้านั้นมีน้ำมากเพียงพอที่จะทำให้กระต่าย มีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าให้น้ำเพิ่มด้วยจะทำให้กระต่ายเติบโตเร็วยิ่งขึ้น การที่กระต่ายกินน้ำแล้วตาย อาจเนื่องมางากภาธนะที่ใส่น้ำเป็นชามที่กระต่ายสามารถทำล้มได้ง่ายทำให้น้ำหกเจิ่งนองพื้น ซึ่งจะทำให้กระต่ายเป็นหวัดหรือปอดบวม และมีโรคอื่น ๆ แทรกช้อนจนทำให้ตายได้
2. จับท้องกระต่ายจะทำให้กระต่ายตายจริงหรือไม่ ?
การจับกระต่ายที่ถูกวิธีและทำด้วยความนุ่มนวลโอกาสที่กระต่ายจะตายนั้นมีน้อยมาก แต่สัญชาติญาณของกระต่ายเมื่อโดนจับบริเวณท้องมันก็จะดิ้น คนที่จับไม่เป็นหรือไม่รู์โดยเฉพาะ เด็ก ๆ เมื้อเห็นมันดิ้นก็จะยิ่งจับหรือบีบให้แน่นยิ่งขื้นเพราะกลัวว่ากระต่ายจะหลุดจากมือ ทำให้อวัยวะภายใน ด้รับอันตรายจนกระทั่งกระต่ายช๊อคตายได้
3. ทำใมกระต่ายสีขาวจะมีตาสีแดง?
การที่กระต่ายจะมีตาสีอะไรขี้นกับเม็ดสี(Pigment) ที่อยู่ในตา แต่ในกระต่ายสีขาวเช่น พันธุ์นิวซีแลนด์ไวท์หรือแคลลิฟอร์เนียน ไม่มีเม็ดสี ทำให้เห็นเส้นเลือดสีแดงในตาซึ่งจะ สะท้อนแสงให้เราเห็นตากระต่ายเป็นสีแดง ส่วนในกระต่ายพันธุ์พื้นเมืองนั้นมีตาสีดำ เุนื่องจากมันมีเม็ดสีเุป็นสีดำในตานั่นเอง
4. กระต่ายเป็นสัตว์ทื่จัดอยูในกลุ่มสัตว์ฟันแทะเช่นเดียวกับหนูใช่หรือไม่ ?
แต่ก่อนนักสัตววิทยาได้จัดให้กระต่ายอยู่ในกลุ่มสัตว์ฟันแทะเช่นเดียวกับหนู ต่อมาได้พบว่ากระต่ายกับหนูนั้นมีข้อแตกต่างกันที่กระต่ายมีฟันตัดหน้าบน 4 ชี่ ส่วนหนู มีเพียง 2 ชี่ ทำให้มีการจัดกลุ่มใหม่ โดยให้กระต่ายอยู่ในอันดับกระต่าย (Order Lagomorpha) และหนูจัดอยู่ในอันดับสัตว์ฟันแทะ (Order Rodentia)
5. ทำไมช่วงที่อากาศร้อนจัด ๆ กระต่ายถืงปช็อคตาย ?
เนื่องจากกระต่ายเป็นสัตว์ที่ไม่มีต่อมเหงื่อ ทำให้การระบายความร้อนเป็นไปได้ยาก ในช่วงที่อากาศร้อน ๆ กระต่ายจะหายใจถี่ขึ้น โดยสังเกตุที่จมูกจะ สั่นเร็วขึ้น และมีการ ระบายความร้อนที่เส้นเลือดแดงใหญ่กลางหูมากขึ้น แต่ก็ยังระบายความร้อนไม่ทันทำให้ อุณหภูมิในร่างกายสูงมากจนถึงขั้นทำให้ช๊อคตายได้
ข้อมูล

การใช้สารสกัดจากสะเดาเพื่อฆ่าแมลง

สารฆ่าแมลงเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญอย่างหนึ่งและมีการใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกินปัญหาและผลกระทบต่าง ๆ มากมายหลายด้าน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน จึงมองหาวิธีการต่าง ๆ ในการที่จะนำมาป้อง กันกำจัดศัตรูพืชเพื่อลดการใช้สารฆ่าแมลง ทางเลือกทางหนึ่งที่น่าสนใจขณะนี้คือการใช้สารสกัดจากธรรมชาติ สารสกัดจากธรรมชาติเป็นสารที่มีคุณสมบัติใน การปราบหรือควบคุม ปริมาณการระบาดของแมลงศัตรูพืช และ ให้ผลดีเท่าเทียมกับการใช้สารฆ่าแมลง ไม่มีพิษตกค้างในผลผลิต ไม่มีพิษต่อเกษตรกรผู้ใช้และสภาพแวดล้อม สารสกัดจากธรรมชนิดของสะเดา สะเดา แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
1. สะเดาอินเดีย มีลักษณะขอบใบหยักเป็นฟีนเลื่อย ปลายของฟันเลื่อยแหลมโคนใบเบี้ยว ปลายใบแหลมเรียวแคบมากคล้ายเส้นขร ผลสุกในเดือน ก.ค.-ส.ค. ชาติที่สำคัญและมีศักยภาพสูงที่จะนำมาใช้ทดแทนสารฆ่าแมลงชนิดหนึ่งคือ สะเดา
2. สะเดาไทย มีลักษณะของใบหยักเป็นฟันเลื่อย แต่ปลายของฟันเลื่อยทู่ โคนใบเบี้ยวแต่กว้างกว่า ปลายใบแหลม ผลสุกในเดือน เม.ย.- พ.ค.
3. สะเดาช้าง หรือต้นเทียม ไม้เทียม ขอบใบจะเรียบ หรือปัดขึ้นลงเล็กน้อย โคนใบเบี้ยว ปลายเป็นติ่งแหลม ขนาดใบและผลใหญ่กว่า 2 ชนิดแรก ผลสุกในเดือน พ.ค.- ส.ค.
วิธีใช้สารสกัดจากเมล็ดสะเดา เอาเมล็ดสะเดาแห้งที่ประกอบด้วยเปลือกหุ้มเมล็ดและเนื้อเมล็ด มาบดให้ละเอียดแล้วนำผงเมล็ดสะเดามาหมักกันน้ำในอัตรา 1 กิโลกรัม/น้ำ 20 ลิตร โดยใช้ผงสะเดาใส่ไว้ในถุงผ้าขาวบางแล้วนำไปแช่ในน้ำ นาน 24 ชั่วโมง ใช้มือบีบถุงตรงส่วนของผงสะเดา เพื่อสารอะซาดิแรดติน ที่อยู่ในผงสะเดาสลายตัวออกมาให้มากที่สุด เมื่อจะใช้ก็ยกถุงผ้าออก พยายามบีบถุงให้น้ำในผงสะเดาออกให้หมดแล้วนำไปฉีดป้องกันกำจัดแมลง ก่อนนำไปฉีดแมลงควรผสมสารจับใบเพื่อให้สารจับกับใบพืชได้ดีขึ้น
ควรใช้สารสกัดนี้ ฉีดพ่นในเวลาเย็นจะมีผลในการฆ่าแมลงได้ดี ใช้ฉีดพ่น 5-7 วันต่อครั้ง และควรใช้สลับกับสารฆ่าแมลงเป็นครั้งคราว แต่ถ้าเป็นช่วงที่แมลงระบาดอย่างรุนแรง ต้องใช้สารฆ่าแมลงฉีดพ่น ซึ่งจะลดความเสียหายได้รวดเร็ว
ในการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ ควรนำสารสกัดที่ได้มาผสมกับสาร Piperonyle butoxide (PB) สารนี้จะเป็นสารที่ช่วยหยุดยั้งการทำงานของน้ำย่อยบางชนิดที่จะทำให้แมลงมีการตายมากขึ้น เมื่อแมลงมากัดกินพืชที่มีสารนี้ แต่จากการทำลองสารสกัดสะเดากับเพลี้ยจักจั่นฝ้ายทำลายกระเจี๊ยบเขียว ไม่ได้ผสมสาร PB ก็มีประสิทธิภาพดีเท่าเทียมกับสารฆ่าแมลง ทามารอน อัตรา 50 ซีซี/20 ลิตร การผสมสารนี้อาจจะเพิ่มค่าใช้จ่ายแต่ควรจะพิจารณาใช้ในแหล่งที่แมลงมีความต้านทานต่อสารฆ่าแมลง